ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆมีมากมาย แต่สำหรับโรคใกล้ตัวเป็นโรคที่มักถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้งสองโรคนี้เป็นโรคไม่ติดต่อที่อันตรายอย่างมากและไม่ควรมองข้าม คลินิกความดันโลหิตสูง และคลินิกเบาหวานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในตรวจรักษาพร้อมดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ใกล้บ้าน สะดวกรวดเร็ว ไม่แออัด เพื่อให้คนไข้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
เมื่อมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็น หรือมีความเสี่ยง จะต้องทำการคัดกรอง , ตรวจวินิจฉัยโรค และเมื่อพบว่าเป็นจะต้องทำการรักษาโดยทันที อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคลินิกความดันโลหิตสูงและคลินิกเบาหวาน ใกล้บ้านจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เราจะพาไปรู้จักกับโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงกันให้มากขึ้นค่ะ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
-
โรคเบาหวานคืออะไร
-
โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
-
อาการของโรคเบาหวานที่สังเกตได้เอง
-
รู้ได้ยังไงว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่
-
วิธีรับมือ และเตรียมความพร้อมหากเป็นโรคเบาหวาน
-
โรคความดันโลหิตคืออะไร
-
โรคความดันโลหิตต่ำเกิดจากอะไร
-
อาการของโรคความดันโลหิตต่ำที่สังเกตได้
-
การดูแลร่างกายหากเป็นโรคความดันโลหิตต่ำ
-
โรคความดันโลหิตสูงคืออะไร
-
สาเหตุ และอาการของโรคความดันโลหิตสูงมีอะไรบ้าง
-
การดูแลร่างกายเมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวานคืออะไร
โรคเบาหวานคือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเกิดความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินจะทำหน้าที่ส่งผ่านแป้ง และน้ำตาลที่เรากินเข้าไปในรูปของกลูโคสในกระแสเลือดไปสู่ระบบเนื้อเยื่อต่าง ๆเพื่อนำไปเผาผลาญ และแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานนั่นเอง
จากสถิติการเก็บข้อมูลของกรมการแพทย์พบว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นทุกปี และพบผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงมากขึ้นอีกด้วย
โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
อาการของโรคเบาหวานที่สังเกตได้เอง
การสังเกตความผิดปกติของตนเองเป็นอีกหนึ่งวิธีเบื้องต้นที่จะเช็คว่าเราเข้าข่ายเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ โดยมีวิธีเช็คตัวเองดังนี้
-
ปัสสาวะบ่อยขึ้นทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยปัสสาวะบ่อยครั้งขนาดนี้
-
รู้สึกกระหายน้ำมากขึ้น เพราะร่างกายมีการขับน้ำมากขึ้นจึงทำให้เกิดภาวการขาดน้ำ และกระหายน้ำมากขึ้นนั่นเอง
-
รู้สึกหิวบ่อยขึ้น กินเก่งมากกว่าเดิม โดยเฉพาะขนมของหวานต่าง ๆ
-
รู้สึกคันยุกยิกตามตัว มีภาวะติดเชื้อได้ง่าย เป็นเชื้อราตามผิวหนัง และเป็นตกขาวบ่อยขึ้น
-
รู้สึกร่างกายอ่อนเพลียแม้ว่าจะพักผ่อนเพียงพอก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายนำนำตาลไปใช้ไม่ได้นั่นเอง
-
เห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัวมองภาพไม่ชัดเจนทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลย
-
มีอาการชาตามแขนขาเนื่องจากปลายประสาทเสื่อม
รู้ได้ยังไงว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่
เมื่อสังเกตตัวเองแล้วพบว่าเข้าข่ายอาการของโรคเบาหวานขั้นตอนต่อไปคือ เข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้ง่าย และมีประสิทธิภาพดีที่สุด ซึ่งก่อนจะทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจะต้องงดน้ำ และงดอาหารอย่างน้อยเป็นเวลา 8 ชั่วโมง โดยมีเกณฑ์การวินิจฉัยดังนี้
วิธีรับมือ และเตรียมความพร้อมหากเป็นโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดถ้าหากปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกวิธี ซึ่งหากพบว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้นไม่ต้องตกใจ ให้ทำการควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักร่างกาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการทานยาจะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น ไม่เกิดภาวะของโรคแทรกซ้อนได้
อ้างอิงวีดิโอ : โรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีวิธีปฏิบัติตัวอย่างไร กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค
แต่หากเป็นโรคเบาหวานที่ต้องพึ่งยาฉีดอินซูลินจะต้องเรียนรู้การฉีดอินซูลินด้วยตนเองอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งควบคุมอาหาร ออกกำลังกายเบา ๆ และทำจิตใจให้สดใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ และทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวอยู่นั่นเอง
อย่างไรก็ตามโรคเบาหวานอาจเป็นโรคที่ดูไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้ละเลยไม่รักษาอย่างถูกวิธีจะส่งผลให้น้ำตาลตกค้างในกระแสเลือดในปริมาณมาก ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆได้ โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูงนั่นเอง
โรคความดันโลหิตคืออะไร
โดยปกติความดันโลหิตเป็นค่าความดันของกระแสเลือดที่ส่งแรงกระทบกับผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการสูบฉีดเลือดของหัวใจ ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้นเมื่อหัวใจบีบตัว และจะลดลงเมื่อหัวใจคลายตัวลง
สำหรับโรคความดันโลหิตเปรียบเสมือนเพชรฆาตเงียบที่คร่าชีวิตคนไม่น้อย โดยเกิดจากความผิดปกติจากความดันโลหิตจนทำให้เกิดภาวะโรคความดันโลหิตต่ำ และความดันโลหิตสูงนั่นเอง
โรคความดันโลหิตต่ำเกิดจากอะไร
เกิดจากภาวะความดันเลือดซิสโตลิกมีค่าต่ำกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น โปรตีน และวิตามินซี เป็นต้น โดยสามารถพบโรคนี้ได้ทั้งผู้หญิง และผู้ชายไม่ว่าอายุเท่าใดก็สามารถเป็นโรคความดันโลหิตต่ำได้
อาการของโรคความดันโลหิตต่ำที่สังเกตได้
-
วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลม หรือมีอาการหน้ามืดจากการเปลี่ยนท่านั่ง หรือยืนกะทันหัน ซึ่งเกิดจากภาวะที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
-
ใจเต้นแรง ใจสั่น เกิดอาการตาพร่ามัว และคลื่นไส้อาเจียนได้
-
เหนื่อยง่ายมากขึ้น รู้สึกอ่อนเพลีย และกระหายน้ำ
การดูแลร่างกายหากเป็นโรคความดันโลหิตต่ำ
โรคความดันโลหิตต่ำสามารถหายได้เอง และจะต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งหากเป็นโรคนี้แล้วไม่เป็นอันตรายอย่างที่คิดหากดูแลตนเองดังนี้
-
ปรับเรื่องอาหารการกิน ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจได้ทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นแรงมากขึ้น
-
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน และวิตามินซีห้ามขาด
-
หากมีอาการหน้ามืดควรนั่งพัก หรือนอลงทันที และพยายามยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองให้เพียงพอ
-
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแบบหนัก ๆ ควรออกกำลังกายเบา ๆไม่ควรหักโหมจนเกินไป
-
ควรพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามอย่านอนดึก เพราะหากพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ความดันต่ำลงได้
อย่างไรก็ตามโรคความดันโลหิตต่ำสามารถรักษาได้ หากปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกวิธี ก็จะทำให้บรรเทาอาการของโรคนี้ได้
โรคความดันโลหิตสูงคืออะไร
โรคความดันโลหิตสูงเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งเมื่อทำการวัดค่าความดันโลหิตแล้วจะมีค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะเป็นโรคความดันโลหะสูงเนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ปรากฏอาการชัดเจนในช่วงแรกที่เป็น จึงทำให้เกิดผลแทรกซ้อนของโรคหัวใจ และหลอดเลือด
สาเหตุ และอาการของโรคความดันโลหิตสูงมีอะไรบ้าง
โรคความดันโลหิตสูงเปรียบดัง “เพชรฆาตเงียบ” เพราะผู้ป่วยส่วนมากกว่าร้อยละ 85 จะไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน แต่หากมีการตรวจพบจากโรค หรือภาวะอื่น ๆ เช่นโรคไต หลอดเลือดแดงตีบ โรคอ้วน และโรคเบาหวาน เป็นต้น
เมื่อวัดค่าความดันโลหิตจึงพบว่ามีค่าความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคความดันโลหิตสูง และพบผู้ป่วยส่วนน้อยเท่านั้นที่พบอาการผิดปกติ เช่น ปวดวิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว และมีเลือดกำเดาไหล เมื่อทำการตรวจวัดค่าความดันพบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และสามารถรักษาได้ทันก่อนที่จะมีภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น
นอกจากนี้พฤติกรรม และการดำรงชีวิตยังเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคความดันหิตสูง เช่น การรับประทานอาหารที่มีรสจัด การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และไม่ออกกำลังกาย รวมถึงพันธุกรรม เป็นต้น
การดูแลร่างกายเมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่มีความร้ายแรง ส่วนมากไม่มีทางรักษา แต่สามารถควบคุมความรุนแรงของโรคได้หากดูแลตัวเอง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองดังนี้
-
ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร โดยเลือกอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ลดปริมาณเนื้อสัตว์ในมื้ออาหาร หลีกเลี่ยงทานอาหารที่มีรสจัดมาก ๆ
-
ลด ละ เลิกสูบบุหรี่ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าหักโหม หรือออกกำลังกายแบบหนัก ๆมากเกินไป
-
ทำจิตใจให้สงบ อย่าไปเครียดกับสิ่งรอบข้างมากจนเกินไป
-
หากมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
โรคความดันโลหิตไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตต่ำ หรือโรคความดันโลหิตสูงสามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งหากเกิดอาการผิดปกติควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคโดยทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะถ้าปล่อยไว้นานอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายได้
จะเห็นได้ว่าโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิต โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่มีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงที่เหมือนกัน และพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีน้ำตาลในเลือดสูงจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ทั้งสองโรคนี้จะเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด แต่หากควบคุมพฤติกรรมการดำรงชีวิต หรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค และเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ หรือซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพเบาหวานความดัน
ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาล และคลินิกเบาหวานความดัน พร้อมแพ็คเก็จตรวจคัดกรองในราคาสบายกระเป๋ามากมายหลายแห่ง ตรวจไว เจอไว รักษาได้ทันท่วงที ลดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้อีกด้วยค่ะ
|
พ.ญ.อรอุมา เพียรผล
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
แก้ไขล่าสุด : 19/07/2022
อนุญาตให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com