ไวรัสตับอักเสบบี โรคร้ายที่หลายคนมองข้ามและชะล่าใจในการป้องกัน เนื่องจากโรคชนิดนี้แฝงอยู่ไม่ปรากฏอาการ เมื่อติดเชื้อแล้วการรักษาให้หายได้ยาก จนในผู้ป่วยบางรายเป็นโรคเรื้อรังลุกลามเกิดเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
รู้จักไวรัสตับอักเสบบีให้มากขึ้น ไวรัสนี้คืออะไร เกิดและติดต่อผ่านทางไหน ใครเสี่ยงรับเชื้อ การตรวจและรักษา และวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ได้รับเชื้อ
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบบี
- โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร
- ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากสาเหตุอะไร
- ติดต่อทางไหน
- ระยะของอาการของโรค
- กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ
- โรคไวรัสตับอักเสบบี รักษาหายไหม
- จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี
- วิธีการรักษา
- การป้องกัน
โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร
โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คือ โรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อตับ โดยมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางเลือดและสารคัดหลั่งเป็นหลัก (Blood Borne) เมื่อเป็นโรคอาจมีอาการป่วยไม่รุนแรงอยู่สองสามสัปดาห์ หรืออาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยที่รุนแรงตลอดชีวิตได้
ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากสาเหตุอะไร
สาเหตุของการเกิดโรคนี้มาจากการที่ร่างกายรับเชื้อไวรัสตับอักเสบีเข้าสู่ร่างกายผ่านทาง เลือด น้ำเหลือง และสารคัดหลั่ง
ติดต่อทางไหน
ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อทางเชื้อผ่านเลือด และสารคัดหลังของผู้มีเชื้อ ซึ่งสามารถเกิดได้หลายกรณี ได้แก่
- ติดต่อจากครรภ์มารดาที่เป็นพาหะของโรค
- ติดต่อผ่านการรับเลือดจากผู้มีเชื้อ
- ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งไม่ป้องกันยิ่งเสี่ยงสูง
- การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน อาจมีเชื้อปนเปื้อน
- การสัมผัสโดนเลือด/สารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ
ระยะอาการของโรค
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีในเด็ก มักจะเป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ (Subclinical Infection) ซึ่งอาจนำไปสู่ระยะเรื้อรัง ส่วนในผู้ใหญ่จะเริ่มต้นที่อาการของระยะเฉียบพลัน
ระยะเฉียบพลัน (Acute Hepatitis B)
ทำให้เจ็บป่วยในระยะสั้นซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนแรกหลังจากที่ติดเชื้อ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะก่อนเหลือง
เป็นช่วงที่โรคมีการฟักตัว ผู้ป่วยจะมีอาการเหล่านี้ 2-14 วัน โดยอาการได้แก่
- วิงเวียนศีรษะ
- บางคนอาจมีอาการของไข้ต่ำๆ
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการปวดตามข้อ
- เจ็บที่บริเวณชายโครงขวาอยู่บ่อยๆ (จุดของตับ)
- มีผื่นขึ้นเหมือนกับลมพิษ
ระยะเหลือง
เป็นระยะที่เกิดขึ้นต่อจากระยะก่อนเหลือง โดยร่างกายมีการแสดงถึงความผิดปกติของตับอักเสบผู้ป่วยอาจมีอาการตัวและตาเหลือง หรือที่เรียกกันว่า ‘ดีซ่าน’ เนื่องจากร่างกายมี สารบิลิรูบินในเลือดเป็นจำนวนมากทำให้เกิดอาการดังนี้ คือ
- สีปัสสาวะเข้มขึ้น
- อุจจาระอาจมีสีซีดล
- อาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง
- ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆด้วย
ทางทีดี่หากพบว่าตนเองมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อป้องกันอันตราย
ระยะหายฟื้นตัว
เป็นช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์หลังจากระยะเหลือง จะเป็นระยะที่เชื้อไวรัสตับอักเสบมีอาการลดลง เป็นช่วงร่างกายเริ่มสามารถทำงานได้ตามปกติ เช่น
- สีของอุจจาระและปัสสาวะกลับมามีสีปกติ
- อาการดีซ่านเริ่มหายไป
- อาการอื่นๆในระยะเหลืองค่อยๆหายไป
ระยะเรื้อรัง (Chronic Hepatitis B)
เป็นระยะที่ทำให้มีเจ็บการป่วยในระยะที่ยาวนาน ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่อยู่ในร่างกาย ผู้ที่ได้รับเชื้อและเข้าสู่ภาวะของระยะเรื้อรังมักจะไม่แสดงอาการเป็นเวลานาน โดยผู้ป่วยอาจมีอาการในกรณีที่มีอาการแทรกซ้อน โดยอาการของระยะเรื้อรัง สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 Immune Tolerant Phase
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เป็นเวลานาน
- ร่างกายไม่มีการแสดงอาการผิดปกติใดๆ
- ตรวจพบเชื้อในเลือดและในตับสูง
- ไม่มีอาการของพังผืดที่ตับและตับอักเสบ เนื่องจากร่างกายยังไม่มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อทำลายเชื้อ
ระยะที่ 2 Immune clearance phase (Immune active phase)
- ร่างกายของผู้ป่วย เริ่มมีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อ ส่งผลให้เกิดตับอักเสบ
- เชื้อในเลือดยังอยู่ในปริมาณสูงอยู่
- อาจมีอาการแสดงหรือไม่มี ต้องหาความผิดปกติผ่านการตรวจเลือด
- ผู้ป่วยในระยะนี้ที่มีอาการตับอักเสบเป็นเวลานาน อาจมีพังผืดที่ตับ และพัฒนากลายเป็นตับแข็งได้
ระยะที่ 3 Inactive phasee (Non/Low Replicative Phase)
- ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระยะนี้ไว จะมีพังผืดหรือตับอักเสบน้อยมาก
- ร่างกายไม่มีการแสดงอาการผิดปกติใดๆ
- ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่ 2 นาน แม้ตรวจค่าเอนไซม์ตับ (ALT) แล้วปกติ ก็อาจพบพังผืด หรือตับแข็งได้
ระยะที่ 4 Reactive phase
- ผู้ป่วยระยะนี้ พบได้เพียงร้อยละ 15-30 เท่านั้น
- อาจมีอาการแสดงหรือไม่มี ต้องหาความผิดปกติผ่านการตรวจเลือด
- ผู้ป่วยระยะนี้เสี่ยงเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ
ในระยะที่ 2 และ 4 อาจมีอาการแสดงหรือไม่มี อาการที่พบได้ เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร เพลีย และผู้ที่มีอาการอักเสบรุนแรง อาจเกิดดีซ่านได้เช่นเดียวกับในระยะเฉียบพลัน หากเกิดอาการตามนี้จะมีความลำบากในการแยกอาการ แพทย์จำเป็นต้องซักประวัติของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาที่น่าจะได้รับเชื้อ ประวัติการป่วยในครอบครัว การตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ผู้ป่วยระยะเรื้อรังส่วนมากมักได้รับเชื้อจากแม่สู่ลูก หากมีอาการดีซ่านและค่าเอนไซม์ตับ (ALT) สูงเหมือนภาวะตับอักเสบบีเฉียบพลันในผู้ใหญ่แล้ว ส่วนใหญ่มักเป็นจาก Flare ของไวรัส ตับอักเสบบีเรื้อรังมากกว่า
ความอันตรายของระยะนี้คือ การติดเชื้อเป็นเวลานาน |
หากทารกที่มีการรับเชื้อในระหว่างคลอด ทารกนั้นจะมีความเสี่ยงเป็นพาหะเชื้อสูง และค่อยๆลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น และในผู้ได้รับยาที่มีผลข้างเคียงต่อเซลล์ร่างกาย (Cytotoxic Drugs) หรือเป็นโรคเอดส์ ก็มีโอกาสเป็นไวรับตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังได้สูงมากยิ่งขึ้น
ผู้ป่วยสามารถเป็นโรคในระยะเรื้อรังและยืดเยื้อ คือ ผล HBsAg เป็นบวก แต่ตรวจไม่พบไวรัสในเลือด หรือในกรณีของผู้ป่วย ที่เป็นโรคในชนิดที่เรื้อรังและรุนแรง เชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีการเพิ่มจำนวน และตรวจพบเชื้อในเลือด หากเซลล์ตับนั้นมีการถูกทำลายเป็นจำนวนที่มากขึ้น สามารถทำให้ผู้ป่วยเป็น ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
อ้างอิงข้อมูล: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ความรู้เกี่ยวกับโรคตับอักเสบ (Hepatitis)
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ป้องกัน
- ผู้มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนบ่อย
- ผู้ที่มีการใช้สารเสพติด หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
- ผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกัน
- เจ้าหน้าที่ทำงานทางด้านการแพทย์
- เด็กทารกจากครรภ์มารดาที่เป็นพาหะของโรค
- ผู้ที่อยู่ร่วมกับคนที่ติดเชื้อ หรือมีการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน
- นักท่องเที่ยว หรือผู้ที่เดินทางไปยังประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูง
โรคไวรัสตับอักเสบบี รักษาหายไหม
การรักษาให้หายได้ขึ้นอยู่กับกรณีด้วย โดยต้องแยกผู้ป่วยเป็น 3 กรณี คือ
- กรณีผู้ป่วยเป็นคนร่างกายแข็งแรง ส่งผลให้ร่างกายสามารถต้านเชื้อ และส่งผลให้เชื้อในร่างกายหมดไป จากนั้นเชื้อจะพัฒนากลายเป็นภูมิคุ้มกัน
- กรณีผู้ป่วยร่างกายฟื้นตัวไม่ได้ เป็นๆหายๆ มีโอกาสที่จะเข้าสู่ระยะเรื้อรัง กลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับต่อไป
- กรณีผู้ป่วยที่อาการหายไป แต่เชื้อยังอยู่ซึ่งกลายเป็น ‘พาหะ’ ของโรค หรือก็คือเป็นโรคนี้ตลอดชีวิต ซึ่งสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ ดังนั้นจึงต้องฉีดวัคซีนทารกที่เกิดจากครรภ์พาหะตั้งแต่อายุ 1 เดือน
อ่านเพิ่มเติม: วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ฉีด 3 เข็ม ลดความเสี่ยงโรค ราคา
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี
หากอยากทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ สามารถเช็กอาการของตัวเราเองเบื้องต้น เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน อาการตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้มขึ้น หรืออุจจาระสีซีด และเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อหาว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดหรือไม่ ซึ่งจะมีการตรวจหลายวิธี ทั้งนี้วิธีการตรวจจะขึ้นอยู่กับประวัติ อาการ แล้วก็วัตถุประสงค์ของตรวจ การตรวจจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและประเมินสถานะของการติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ
วิธีที่ใช้ในการตรวจหลักๆจะมีด้วยกัน 6 วิธี คือ ตรวจ HBsAg ,Anti-HBs, HBcAb, HBeAg, Anti-HBe และ HBV DNA เป็นต้น นอกจากการนี้แพทย์อาจพิจารณาตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อวางแผนการรักษา, ติดตามในผู้ที่ติดเชื้อด้วย รวมถึงประเมินความเสียหายของตับและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การตรวจเอนไซม์ตับ (ALT และ AST), ตรวจค่าบิลิรูบิน และอัลตราซาวด์ เป็นต้น
วิธีการรักษา
การรักษาผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับระยะของอาการป่วย
การรักษาในระยะเฉียบพลัน
จะทำการรักษาโดยการช่วยเพื่อให้อาการของคนไข้ค่อยๆดีขึ้นพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากเป็นกลุ่มร่างกายสามารถต่อสู้กับไวรัสได้เอง โดยสิ่งที่คนไข้ควรปฏิบัติขณะรักษามีดังนี้
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นตัว และสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้
- ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้เกิดการขาดน้ำ และการดื่มน้ำยังช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการทานยาที่มีผลต่อตับ หากมีไข้หลีกเลี่ยงการใช้ยา ที่อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด อย่างยาพาราเซตามอล แนะนำให้เช็ดตัวเพื่อให้ไข้ลดด้วยน้ำอุ่น หรืออุณหภูมิธรรมดา และควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
การรักษาในระยะเรื้อรัง
การรักษาในระยะติดเชื้อแบบเรื้อรัง แพทย์จะทำการรักษาไปพร้อมๆกับการให้รับประทายาเพื่อควบคุมเชื้อไวรัสภายในร่างกาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
1. ใช้ยาต้านไวรัส
สำหรับรับประทานเพื่อช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายและลดการอักเสบของตับ ได้แก่
- ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดระดับไวรัส และช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- เอนเทคคาเวียร์ (Entecavir) ยาต้านไวรัสที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดระดับไวรัสในร่างกาย
- อินเตอร์เฟอรอน (Interferon) เป็นยาชนิดฉีด เพื่อช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อมาต่อสู้กับไวรัส แต่ยานี้จะมีผลข้างเคียงสูงกว่าชนิดอื่น
การให้ยาต้านไวรัสจะเพื่อช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับในอนาคต การพิจารณารักษา ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ความรุนแรงของการเกิดภาวะตับแข็ง และ การอักเสบของตับจากการตรวจเลือด |
2. พบแพทย์เพื่อตรวจและติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับของไวรัสและการทำงานของตับเป็นประจำ ตามคำแนะนำของแพทย์
3. รักษาสุขภาพให้ดี
โดยเฉพาะรักษาสุขภาพของตับ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อตับ
การรักษาเพิ่มเติม: กรณีที่ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น ตับแข็ง หรือเป็นมะเร็งตับ อาจจำเป็นต้องรักษาและดูแลเฉพาะทาง เช่น การผ่าตัด หรือการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด เป็นต้น
การป้องกัน
- เพื่อป้องกันการติดเชื้อแนะนำให้ ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ตั้งแต่วัยทารก เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่ใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้อื่นไม่ว่าเป็น ของใช้ส่วนตัว อาหาร หรือเข็มฉีดยา เพราะอาจมีเชื้อปนเปื้อนอยู่ได้
- หากคนรัก หรือสามี-ภรรยา คนใดคนหนึ่งเป็น อีกฝ่ายควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน
- หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายสัมผัสถูกสารคัดหลั่ง หรือเลือดของผู้ที่มีเชื้อ เพื่อป้องกันการรับเชื้อ
- ตรวจคัดกรองสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
เอกสารอ้างอิง
- สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ความรู้เกี่ยวกับโรคตับอักเสบ (Hepatitis)
- พญ.ส่องหล้า จิตแสง, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บทความที่น่าสนใจ
นายอัชวินทร์ ธรรมสุนธร
ผู้จัดการทั่วไป
แก้ไขล่าสุด : 01/07/2024
อนุญาตให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com