โรคกระเพาะอาหาร มีอาการและรักษาอย่างไร?

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในวัยทำงาน โดยโรคนี้มักมาพร้อมกับอาการปวดท้องบ่อย หรือมีอาการคลื่นไส้ และท้องอืด มาทำความเข้าใจ และรู้จักโรคกระเพาะอาหารเพื่อช่วยควบคุมและป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรคกระเพาะ ผ่านบทความนี้ได้เลย

หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคกระเพาะ

โรคกระเพาะอาหาร คืออะไร?

โรคกระเพาะอาหาร คืออะไร

โรคกระเพาะอาหาร คือ อาการอักเสบที่บริเวณของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคือง แดง และบวม เป็นโรคไม่ร้ายแรง


แต่ผู้ป่วยโรคกระเพาะมักเป็นแบบเรื้อรัง

ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิต หากปล่อยทิ้งไว้
อาจส่งผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ตามมาภายหลังได้ 

โรคกระเพาะเกิดจากอะไร

สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะ มาจากการที่กระเพาะอาหารมีปริมาณของกรดในกระเพาะอาหารที่มากขึ้น และเยื่อบุกระเพาะอาหารมีความอ่อนแอลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดโรคด้วย


พฤติกรรมเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะ

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคกระเพาะมีหลายสาเหตุ ได้แก่

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ

  1. ภาวะเครียด วิตกกังวล

  2. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  3. การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน เช่น ชา และกาแฟ

  4. การสูบบุหรี่

  5. การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา 

  6. การกินยาแก้ปวด, ยาชุด, ยาลูกกลอน ชนิดที่มีส่วนผสมของแอสไพริน สเตียรอยด์ และยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

  7. การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัด

อาการของโรค

  • มีอาการปวดท้องบ่อย ปวดท้องเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ

  • มีอาการปวดสัมพันธ์กับมื้ออาหาร  เช่น ปวดเวลาหิวหรือท้องว่าง เมื่อกินอาหารหรือนม อาการปวดจะทุเลา

  • จุดเสียด แน่นท้อง

  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอลม

  • แสบร้อนท้อง

  • รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน


พบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาโรคกระเพาะอาหาร

อาการของโรคกระเพาะที่ควรรีบไปพบแพทย์

อาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์

สังเกตตัวเองหากมีอาการดังต่อไปนี้อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์ 

  • อาเจียนเป็นเลือดดำ/แดง หรือถ่ายดำ เนื่องจากอาจบ่งบอกว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร

  • ปวดท้องรุนแรงและมีภาวะช็อค เนื่องจากบ่งบอกว่าอาจมีกระเพาะอาหารทะลุ

  • ปวดท้องและอาเจียนมาก เนื่องจากบ่งบอกว่าอาจมีการอุดตันของกระเพาะอาหาร

ปวดท้องตรงไหนเป็นโรคกระเพาะ

อาการปวดท้องของโรคกระเพาะอาหาร จะมีอาการปวดท้องใต้ลิ้นปี่ เนื่องจากเป็นบริเวณของกระเพาะอาหาร


การวินิจฉัย

ซักประวัติและอาการของผู้ป่วย

แพทย์ทำการซักประวัติคนไข้

โดยจะมีใส่ของการซักประวัติอาการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย เพื่อแยกโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้ายโรคกระเพาะ เช่น โรคถุงน้ำดี หรือโรคตับ

ตรวจด้วยวิธีการทางห้องปฏิบัติการ

ตรวจด้วยวิธีการทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ หรือการตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test) เพื่อหาระดับเอนไซม์ Urease ประเมินว่า มีการติดเชื้อเอชไพโลไร (Helicobacter pylori, H. Pylori) หรือไม่ โดยเชื้อเอชไพโลไร เป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารได้

ส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร

ส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร

การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Gastroscopy) เป็นวิธีการตรวจที่ช่วยให้สามารถมองเห็นเยื่อบุกระเพาะอาหาร และสามารถตัดชื้นเนื้อตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรได้

การรักษา

  • แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร

  • แพทย์จะมีการใช้ยาในรักษา โดยต้องรับประทานยาอย่างถูกวิธี และสม่ำเสมอ ติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์

  • หากผู้ป่วยอาการไม่ทุเลาลง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจต้องทำการผ่าตัดโดยการส่องกล้องเพื่อการวินิจฉัย และรักษา


พบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาโรคกระเพาะอาหาร

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหาร

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหาร

  • ทานอาหารให้เป็นเวลา ทานน้อยๆ วันละ 4 ถึง 5 มื้อ ไม่กินจุบจิบโดยเฉพาะก่อนนอน และทานอาหารในปริมาณที่ไม่อิ่มมากเกินไป

  • ระวังการใส่เครื่องเทศที่มีรสเผ็ดจัด 

  • ทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก, ผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะใยอาหารประเภทละลายน้ำ เช่น กล้วย, มะละกอ และแอปเปิ้ล ซึ่งมีใยอาหารชนิดเพคตินมาก ช่วยป้องกันโรคกระเพาะและมะเร็งในกระเพาะอาหาร

  • ทานผักใบเขียวจัดให้มากขึ้น  เนื่องจากผักใบเขียวจัดมีวิตามินเคสูง ช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วขึ้น ป้องกันเลือดออกในกระเพาะ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร

  • ทานผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง  เช่น แครอท, ฟักทอง, ผักใบเขียวจัด และแคนตาลูป ช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะและลำไส้ เร่งให้แผลหายเร็วขึ้น

การดูแลตัวเองสำหรับผู้เป็นโรคกระเพาะ

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่เพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร ได้แก่ เครื่องดื่มทุกชนิดที่มีคาเฟอีน กาแฟ น้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารเค็ม

  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่ม ที่ร้อนจัด

  • งดการสูบบุหรี่

  • เคี้ยวช้าๆ ในเวลากินไม่เร่งรีบ

  • ควรสังเกตตัวเองว่าอาหารชนิดใด ที่ก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย และหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น

  • หลีกเลี่ยงความเครียด

  • หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง  และกินยาตามแพทย์แนะนำให้ถูกต้อง สม่ำเสมอ

พบแพทย์ที่อินทัชเมดิแคร์คลิก


วิธีแก้ปวดท้องโรคกระเพาะเบื้องต้น

  • เริ่มกินอาหารเหลวก่อน  เช่น ซุปใส จากนั้นเปลี่ยนเป็นข้าวต้ม และอาหารปกติ ตามลำดับ

  • ดื่มน้ำมากๆ

  • งดอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และน้ำอัดลมทุกชนิด

  • กินยาตามอาการ เช่น ยาพาราเซตามอล และยาลดกรด/เคลือบกระเพาะ

  • ประคบอุ่นใต้ลิ้นปี่ ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ หากไม่ทุเลา ปวดท้องรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แนะนำไปประเมินอาการที่โรงพยาบาล 

  • แต่หากเป็นการปวดท้อง เนื่องจากการกินยาพิษหรือสารพิษ แนะนำไปโรงพยาบาลทันที

วิธีป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นโรคกระเพาะ

วิธีป้องกัน

  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน  กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

  • รักษาสุขภาพจิต เพื่อลดการสร้างกรดที่กระเพาะอาหารมากเกินไป

  • ไม่ซื้อยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ หรือยาสเตียรอยด์กินเอง

  • งดสูบบุหรี่/ดื่มแอลกอฮอล์ และจำกัดเครื่องดื่มคาเฟอีน

  • รักษา และควบคุมโรค ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระเพาะอาหาร

สรุป

การทำความเข้าใจสาเหตุและอาการของโรคกระเพาะอาหาร เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษา โรคนี้อาจต้องการการดูแลและการรักษาที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเปลี่ยนแปลงอาหาร การใช้ยารักษา หรือการปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง

ส่วนใครที่มีอาการเข้าข่ายว่าเป็น เช่น ปวดท้องใต้ลิ้นปี่, ปวดท้องบ่อย/ปวดถี่ จุกเสียด และแน่นท้อง การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย จะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างถูกวิธี และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา หากสนใจพบแพทย์สามารถสอบถามเพิ่มเติ่มผ่านทาง Line Offiacial อินทัชเมดิแคร์ หรือติดต่อสายด่วยของเราได้เลย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

 Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก

    

 @qns9056c

 อินทัชเมดิแคร์คลินิกเวชกรรม

 แก้ไขล่าสุด : 23/08/2024

อนุญาตให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com