ฝังยาคุมกำเนิดคืออะไร
ฝังยาคุมกำเนิด หมายถึง การใส่แท่งยาคุมไว้ในผิวหนัง ห่างจากข้อพับแขนขึ้นมาประมาณ 8 – 10 ซม. ฝังใต้ท้องแขนด้านที่ใช้งานน้อยหรือข้างที่ไม่ถนัด ภายในแท่งยาคุมมีการบรรจุฮอร์โมนโปรเจสตาเจนหรือฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรล
ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นเวลา 3 หรือ 5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของยา
ยี่ห้อที่นิยมฝังได้แก่
Implanon (อิมพลานอน) แบบ 3 ปี
และ Jadelle (จาเดลล์) แบบ 5 ปี
ฝังยาคุมและถอดยาคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้เวลาไม่นาน คุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัย สะดวก รวดเร็วและไม่เจ็บแผล
เป็นการฝังแท่งยาขนาดเล็กไว้ที่ใต้ท้องแขน ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์นาน 3 – 5 ปี มีข้อดีข้อเสียและผลข้างเคียงที่ควรรู้ในบทความนี้ เมื่อถอดออกแล้วจะไม่ส่งผลเรื่องการมีลูกยาก เพราะเลิกใช้ยาคุมแบบฝังแล้วร่างกายจะปรับฮอร์โมนให้กลับมาเป็นปกติได้ภายใน 1 เดือน จึงมีโอกาสตั้งครรภ์สูงค่ะ
ยาฝังคุมกำเนิดถือเป็นการคุมกำเนิดที่ปลอดภัย สะดวก และมีประสิทธิภาพสูงหากฉีดตรงเวลาต่อเนื่อง
อ่านเพิ่มเติม : 12 ข้อดีฝังยาคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง? และข้อเสียที่ควรรู้!
ฝังยาคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์อย่างไร
- ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวขึ้นหรือข้นขึ้นมากกว่าปกติ ดังนั้นอสุจิฝ่ายชายมีโอกาสผ่านเข้าไปได้ยากมากขึ้น
- หากอสุจิหลุดเข้าไป มีผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ทำให้เกิดภาวะไม่เหมาะสมในการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว
- ป้องกันหรือยับยั้งการตกไข่
ประเภทของยาฝังคุมกำเนิด
ประเภทของยาฝังคุมกำเนิดแบ่งได้ตามลักษณะของตัวยา ประเภทที่ 1 ตัวยาสำคัญที่ใช้คือฮอร์โมนชนิดเดี่ยว คือ ฮอร์โมนโปรเจสตาเจน (Progestagen) ตัวยาในกลุ่มนี้ที่ถูกนำมาใช้เป็นยาฝังคุมกำเนิดคือ เอโทโนเจสเตรล (Etonogestrel) ซึ่งช่วยคุมกำเนิดได้ 3 ปี และประเภทที่ 2 คือ ฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ซึ่งช่วยคุมกำเนิดได้นานถึง 5 ปี
ในปัจจุบันยาคุมแบบฝังสามารถแบ่งออกอีกรูปแบบคือ แบ่งตามลักษณะจำนวนของแท่งหลอดยา ชนิดแรกคือแบบ 1 แท่ง สามารถคุมกำเนิด 3 ปี และชนิดที่ 2 คือแบบ 2 แท่ง สามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ : ยาฝังคุมกำเนิด 2 ชนิด ประกอบด้วยตัวยาอะไรบ้าง
1. ฝังยาคุมกำเนิดแบบ 3 ปี (1 แท่ง)
ยาคุมฝังแบบ 3 ปี ยี่ห้อที่นิยมคือ Implanon (อิมพลานอน) ประกอบด้วยแท่งยา 1 แท่ง ขนาดประมาณ 2 x 40 มิลลิเมตร มียาอีโทโนเจสตริลขนาด 68 มิลลิกรัม ยาฝังจะปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 60 – 70 ไมโครกรัมในสัปดาห์ที่ 5 – 6
และในช่วงท้ายของปีแรกจะลดลงเหลือ 35 – 45 ไมโครกรัมต่อวัน ในช่วงท้ายปีที่ 2 จะลดลงเหลือประมาณ 35 – 45 ไมโครกรัมต่อวัน และในช่วงท้ายของปีที่3 จะลดลงเหลือ 25 – 30 ไมโครกรัมต่อวัน สามารถช่วยคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
2. ฝังยาคุมกำเนิดแบบ 5 ปี (2 แท่ง)
ยาคุมฝังแบบ 5 ปี เช่น ยี่ห้อ Jadelle (จาเดลล์) มักได้รับความนิยม ประกอบด้วยแท่งยาที่บางและยืดหยุ่นได้จํานวน 2 แท่ง ขนาดประมาณ 2.5 x 43 มิลลิเมตร แต่ละแท่งจะมีฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรล 75 มก. ยาฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรลออกมาในปริมาณ วันละ 40 – 100 ไมโครกรัม
ช่วงแรกจะปล่อยฮอร์โมนออกมาสูงแล้วค่อยๆ ลดลงจนคงที่ ออกฤทธิ์นาน มีประสิทธิผลนานถึง 5 ปี (ฮอร์โมนชนิดนี้เป็นหนึ่งในตัวยาสําคัญของยาคุมชนิดเม็ดหลายยี่ห้อในท้องตลาด) ออกฤทธิ์ทันทีที่ฝั่งยาคุมเข้าใต้ผิวหนัง
ราคาฝังยาคุมและถอดยาคุมกำเนิด
- ฝังยาคุมกำเนิดแบบ 3 ปี 1 เข็ม ราคา 5,650 บาท
- ฝังยาคุมกำเนิดแบบ 5 ปี 2 เข็ม ราคา 5,990 บาท
- ถอดเข็มยาคุม ราคาเริ่มต้น 2,900 บาท
หมายเหตุ : กรณีที่ไม่อยู่ช่วงการมีประจำเดือน มีค่าบริการตรวจการตั้งครรภ์เพิ่มเติม
ดูราคาเพิ่มเติม : ราคาฝังยาคุมและถอดยาคุม
รีวิวลูกค้าที่ฝังยาคุมกับเรา
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุมกำเนิด
สูติแพทย์แนะนำว่าควรฝังภายใน 1 – 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อความมั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือภายหลังการแท้งลูกไม่เกิน 1 อาทิตย์ หรือหลังการคลอดไม่เกิน 4 – 6 สัปดาห์
หากคุมกำเนิดแบบฝังนอกจากช่วงเวลาข้างต้นต้องตรวจการครรภ์ทุกครั้ง
(ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ด้วย)
หลักสําคัญของยาฝังคุมกำเนิดคือควรฝังยาตามขั้นตอนอย่างถูกต้องและระมัดระวัง ที่สำคัญต้องสามารถคลำหาเข็มยาคุมได้ เพราะหากฝังลึกเกินไป (ฝังอยู่ลึกกว่าใต้ชั้นผิวหนัง) อาจไม่สามารถคลำพบได้ ทำให้ถอดแท่งยาคุมออกนั้นทำได้ยาก
บทความที่แนะนำสำหรับคุณ
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับยาฝังคุมกำเนิด
- การออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดแบบฝัง จะเริ่มต้นทันทีหลังจากทำการฝั่งยาคุมเอาไว้ภายในระยะเวลาเพียง 5 วัน นับจากวันที่มีประจำเดือน แต่ในกรณีเป็นวันอื่นที่ไม่ตรงกับการมีประจำเดือนต้องใช้เวลา 7 วัน เพื่อช่วยป้องกันการตั้งครรภ์
- คุมกำเนิดแบบฝังควรดำเนินการอย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังคลอด ทั้งนี้หากดำเนินการภายใน 21 วัน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที แต่ถ้าหลังจาก 21 วันไปแล้ว อาจต้องรอเวลาให้ยาออกฤทธิ์อีก 7 วัน
- โรคที่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนฝัง ได้แก่ โรคภูมิแพ้ตนเอง หรือ SLE , โรคซึมเศร้า มีอาการซึมเศร้ารุนแรง (ยาที่ใช้รักษาอาจจะมีปฏิกิริยากับยาฝังคุมกำเนิด) , ไมเกรน , ความดันโลหิตสูง , กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ , โรคหลอดเลือดในสมอง, ดีซ่าน อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนดำเนินการเพื่อความปลอดภัย
- ยาคุมแบบฝัง ราคาถือว่าสูงในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดแบบเม็ดหรือฉีดยาคุม ดังนั้น ต้องรู้ว่ายาบางชนิดจะทำให้คุณภาพของการใช้งานลดลง ได้แก่ กลุ่มยาปฏิชีวนะ อาทิ ยา Rifabutin หรือยา Rifampicin, ยาแก้อาการลมชัก และยาสำหรับการรักษาผู้ป่วย HIV
- คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้แทบไม่มีความเสี่ยงใด ๆ โดยมีเพียง 2% ในช่วงระหว่างขั้นตอนฝั่งยาคุมและการถอดเข็มยาคุมซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อได้ (แต่นับว่าน้อยถึงน้อยมาก) ถ้าเกิดขึ้นจริงก็รักษาไม่ยุ่งยากด้วยการทำความสะอาดและใช้ยาบรรเทาอาการติดเชื้อ
ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดแบบฝัง
- อาจพบว่าประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ นานกว่าปกติ เกิน 8 วัน ซึ่งเกิดขึ้นในปีแรก
- หลังจากนั้น สีเลือดจางลง เลือดออกเป็นปกติมากขึ้น โดยจะเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง หรือไม่มีเลือดประจำเดือนเลย อาจมีอาการปวดหัว ปวดท้อง เจ็บคัดตึงบริเวณเต้านมได้
อาการข้างเคียงไม่ใช่อาการที่แสดงถึงการเจ็บป่วย ประจำเดือนหายไปไม่ใช่อาการที่แสดงว่าตั้งครรภ์
ปกติอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะน้อยลงหรือหายไปในปีแรก แต่หากรู้สึกกังวลเรื่องอื่นก็สามารถปรึกษาแพทย์ที่คลินิกที่รับบริการได้เลย
อ่านเพิ่มเพิ่มเติม : ผลข้างเคียงฝังยาคุมกำเนิด เสี่ยงต่อสุขภาพไหม?
หลังฝังคุมกำเนิดจะมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อไร
คนไข้มักจะถามคุมกำเนิดแบบฝังแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันทีหรือไม่ หรือ มีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อไร ทางเราขอแนะนำดังนี้
- ยาคุมกำเนิดแบบฝังจะเริ่มออกฤทธิ์ทันที แต่ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น
- หากฝังในช่วง 7 วันแรกของการมีประจำเดือนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันที ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
- หากฝังในวันถัดไปหรือวันอื่นๆของรอบประจำเดือนสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 7 วันหลังจากวันที่ฝัง
- ระหว่างนี้ควรใช้วิธีการคุมเนิดอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือ การหลั่งภายนอก เป็นต้น
ข้อห้ามของยาฝังคุมกำเนิด
- ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันก่อนฝั่งยาคุมอย่างน้อย 7 วัน
- ทราบหรือสงสัยว่าอาจจะตั้งครรภ์
- เป็นโรคหลอดเลือดดำอุดตัน เช่น บริเวณขา ปอด หรือ ตา
- เป็นหรือมีประวัติเป็นเนื้องอกที่ตับ ทั้งชนิดที่เป็นมะเร็งและชนิดที่ไม่เป็นมะเร็ง
- เป็นหรือมีประวัติว่าเป็นโรคเกี่ยวกับตับ
- การทำงานของตับผิดปกติ (ดูจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ)
- เป็นหรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม
- เป็นหรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ถอดยาคุมแบบฝัง (ถอดเข็มยาคุม)
ถอดเข็มยาคุม ทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน โดยจะถอดเมื่อครบกำหนดตามนัดหรือต้องการหยุดคุมกำเนิดเพื่อเตรียมตัวตั้งครรภ์ รวมถึงกรณีต้องการคุมกำเนิดด้วยยาคุมแบบฝังอีกก็สามารถเปลี่ยนแท่งยาแล้วฝังต่อได้เลย
คำถามที่พบบ่อยเรื่องยาคุมแบบฝังและถอดเข็มยาคุม
- คุมกำเนิดแบบฝังจะทำให้อนาคตมีลูกยากรึเปล่า
- ยาคุมที่ฝังเกินกำหนด อันตรายไหม
- เกินกำหนดถอดเข็ม จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้หรือไม่
- สามารถไปฝังยาคุมได้เมื่อไร
- ยาคุมแบบฝังมีประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการคุมกำเนิดหรือไม่
- ใช้แขนข้างที่ฝังยาคุมทำงานได้ปกติหรือไม่
- มีผลข้างเคียงหลังถอดเข็มยาคุมไหม
- เมื่อถอดยาคุมแล้ว สามารถฝังต่อทันทีได้ไหม
- ถอดยาคุมแล้วจะมีลูกเลยได้ไหม
- ถอดยาคุมก่อนหรือหลังกำหนดได้หรือไม่
คุมกำเนิดแบบฝังจะทำให้อนาคตมีลูกยากรึเปล่า
- คุมกำเนิดแบบฝังจะไม่ทำให้มีลูกยาก เมื่อนำเข็มยาคุมออก ร่างกายจะมีการปรับระดับฮอร์โมนลงอย่างรวดเร็ว ไข่สามารถกลับมาตกแบบปกติได้ภายใน 1-2 เดือน กล่าวคือ ภายใน 1 ปี มีโอกาสสูงที่จะกลับมาตั้งครรภ์ได้ทันที เพราะฉะนั้นแล้วคุณแม่ที่เป็นห่วงเรื่องมีลูกยากในอนาคตหมดห่วงเรื่องนี้ไปได้เลย
ยาคุมที่ฝังเกินกำหนด อันตรายไหม
- กรณีฝังเกินกำเนิดพบได้บ้าง ซึ่งไม่พบผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดอันตราย แต่ไม่ควรปล่อยให้นานเกินไปเพราะจะทำให้เอาเข็มออกยาก บางรายต้องเข้าผ่าตัดเพื่อเอาออก และในช่วงที่เลยกำหนดควรคุมกำเนิดแบบอื่นควบคู่ด้วย เพราะว่าตัวยาเสื่อมประสิทธิภาพแล้ว หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์สูงมาก
เกินกำหนดถอดเข็ม จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้หรือไม่
- ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์จะสูง หรือ แทบไม่มีผลในการป้องกันการตั้งครรภ์เลย เนื่องจากฮอร์โมนได้เริ่มหมดสภาพในการใช้งานแล้ว
สามารถไปฝังยาคุมได้เมื่อไร
- ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ ในกรณีหลังคลอดบุตรสามารถฝังยาภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอด ส่วนกรณีแท้งบุตรสามารถทำได้ทันทีหรือภายใน 2 สัปดาห์ หลังแท้ง
ยาคุมแบบฝังมีประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการคุมกำเนิดหรือไม่
- ยาคุมแบบฝังอาจช่วยให้อาการปวดประจำเดือนลดลง ปริมาณเลือดประจำเดือน้อยลง และอาจช่วยป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
ใช้แขนข้างที่ฝังยาคุมทำงานได้ปกติหรือไม่
- งดใช้แขนข้างที่ฝังยกของหนักๆในช่วงแรก เพราะอาจมีอาการปวด บวม ช้ำ ที่แขนในบริเวณที่ฝังยาได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้อันตราย อาการเหล่านี้จะดีขึ้นใน 3-5 วัน
มีผลข้างเคียงหลังถอดเข็มยาคุมไหม
- ไม่มีผลข้างเคียงหรืออาการอันตรายเลย เพียงแต่อาจจะรู้สึกหน่วงบริเวณแผลผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งถือเป็นอาการปกติอยู่แล้ว
เมื่อถอดยาคุมแล้ว สามารถฝังต่อทันทีได้ไหม
- หากต้องการคุมกำเนิดต่อสามารถฝังเข็มยาคุมต่อได้ทันที โดยแพทย์จะช่วยฝังเข็มยาคุมต่อให้ ไม่ต้องกังวลกับปัญหาการตั้งครรภ์
ถอดยาคุมแล้วจะมีลูกเลยได้ไหม
- เมื่อถอดเข็มฝังคุมกำเนิดออกแล้ว ร่างกายจะมีการปรับตัวมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วภายในเวลา 1-2 เดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีการตกไข่ภายใน 3 เดือน หลังจากนั้นร่างกายจะกลับมาเป็นปกติดังเดิมและมีโอกาสมีลูกได้ทันที ทั้งนี้ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมในการดูแลตัวเองต่อไป
ถอดยาคุมก่อนหรือหลังกำหนดได้หรือไม่
- ถอดเข็มฝังคุมกำเนิดไม่ได้เกี่ยวข้องกับระยะเวลาว่าต้องก่อนหรือหลังเวลาที่แพทย์กำหนดไว้ หากต้องการถอดเพื่อตั้งครรภ์ก็สามารถทำได้ทันที ไม่มีผลข้างเคียงใด หรือถ้าครบกำหนดแต่ยังไม่มีเวลาไปถอดออกก็สามารถปล่อยเอาไว้ได้ แต่ไม่ควรเกิน 1 เดือน หลังจากครบกำหนดถอดเข็มยาคุมคุณภาพของตัวยาจะไม่ได้ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ : รวมคำถาม-คำตอบยอดฮิต! เกี่ยวกับฝังยาคุม ที่ถามกันบ่อย
การดูแลหลังถอดเข็มยาคุมกำเนิดออก
- ห้ามใช้แขนด้านที่ถอดยาคุมทำงานประเภทยกของหนัก
- ห้ามโดนน้ำหรืออาบน้ำ สามารถโดนน้ำได้หากใช้พลาสเตอร์กันน้ำ
- ปกติหากไม่มีอาการปวดก็สามารถถอดผ้าก๊อสและพลาสเตอร์ปิดแผลออกได้หลัง 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการปวดบวมมากผิดปกติหรือเลือดออกมากควรรีบพบแพทย์
การคุมกำเนิดวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์
หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ห้ามพยายามนำแท่งยาคุมกำเนิดออกเอง
เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
บทความที่น่าสนใจ
- 12 ข้อดีฝังยาคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง? และข้อเสียที่ควรรู้!
- ข้อควรระวังก่อนฝังยาคุม! ที่ควรรู้ก่อนฝัง
- ผลข้างเคียงฝังยาคุม! มีอะไรบ้าง อ่านเลยๆ
- การปฏิบัติตัวหลังการฝังยาคุมกำเนิด มีวิธีการอย่างไร?
พ.ญ.อรอุมา เพียรผล
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
แก้ไขล่าสุด : 24/10/2024
อนุญาตให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com