เพราะการป้องกันการตั้งครรภ์สามารถทำได้หลายวิธี การจะเลือกใช้วิธีการใดจึงต้องศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เพื่อให้เหมาะสมกับตนเองและเกิดประสิทธิภาพในการป้องกันสูงที่สุด
สำหรับคนที่ต้องการฉีดยาคุมกำเนิด แต่ยังมีข้อสงสัยต่างๆ ที่สร้างความกังวลใจเราได้รวบรวมเอาคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฉีดยาคุมมาไว้ในบทความนี้ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
คำถามที่เกี่ยวกับการฉีดยาคุมกำเนิด
- ยาคุมแบบฉีดมีกี่แบบ
- หากฉีดยาคุมกำเนิดแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เลยไหม
- ฉีดยาคุมตอนไหนดี
- มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
- ยาคุมแบบฉีดต่างจากยาคุมแบบกิน อย่างไร
- ฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนแล้วประจำเดือนมาไม่หยุด ทำอย่างไร
ยาคุมแบบฉีดมีกี่แบบ
ยาคุมแบบฉีดมี 2 แบบ คือ
- ยาคุมฉีดแบบ 1 เดือน (ฮอร์โมนรวม) ส่วนใหญ่จะฉีดเข้าที่บริเวณต้นแขน สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียง 1 เดือน ต่อการฉีด 1 เข็ม และไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังให้นมบุตร
- ยาคุมฉีดแบบ 3 เดือน (ฮอร์โมนเดี่ยว) จะฉีดเข้าที่สะโพกสามารถคุมกำเนิด ได้นาน 3 เดือน ต่อการฉีด 1 เข็ม โดยไม่มีผลต่อการผลิตน้ำนม แต่มักจะมีผลข้างเคียงคือ มีเลือดออกกะปริบกะปรอย แต่จะค่อยๆ ลดอาการลงในที่สุด
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ : ฉีดยาคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน กับ 3 เดือน เลือกแบบไหนดี
หากฉีดยาคุมกำเนิดแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เลยไหม
หากฉีดยาคุมกำเนิดในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน และต้องการมีเพศสัมพันธ์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นร่วมด้วย แต่หากฉีดยาคุมในช่วงเวลาอื่น และต้องการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันแรกของการฉีดยาคุม
ควรป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีการอื่น เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เพื่อให้ยาคุมแบบฉีดออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพเสียก่อน
ฉีดยาคุมตอนไหนดี
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดยาคุมกำเนิด คือ ช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน แต่หากมีความจำเป็นต้องฉีดนอกเหนือจากช่วงเวลาดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์และตรวจดูก่อนว่าอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือไม่
มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงของการฉีดยาคุมกำเนิด จะคล้ายกับการกินยาคุม คือ มักจะมีอาการ เจ็บคัด ตึงเต้านม ประจำเดือนมาไม่ปกติ เลือดออกกะปริบกะปรอย บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
อ่านเพิ่มเติม : ผลข้างเคียงจากการฉีดยาคุมกำเนิด
ยาคุมแบบฉีดต่างจากยาคุมแบบกินอย่างไร
หากวัดกันเรื่องประสิทธิภาพของการคุมกำเนิด ยาคุมทั้งสองชนิด จัดว่าเป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงเช่นเดียวกัน
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ฉีดยาคุมกำเนิด มีให้เลือกทั้ง ยาคุมฉีดแบบ 1 เดือน และยาคุมฉีดแบบ 3 เดือน ซึ่งยาคุมแบบกินจะป้องกันการตั้งครรภ์ 1 แผง ต่อ 1 เดือนเท่านั้น และจะต้องกินยาคุมทุกวัน หากลืม ก็มีโอกาสที่จะเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้
ฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนแล้วประจำเดือนมาไม่หยุด ทำอย่างไร
ฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนแล้วประจำเดือนมาไม่หยุด หากมาไม่เยอะมากจนรำคาญใจก็แนะนำให้สังเกตุอาการก่อน แนะนำฉีดเข็มถัดไป 2-3 เข็ม อาการเรื่องประจำเดือนจะดีขึ้น แต่หากฉีดยาคุมไปแล้วอาการไม่ดีขึ้นสามารถเข้ามาพบหมอเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องกินยาปรับฮอร์โมนได้
แพทย์ไม่แนะนำให้กินยาเลื่อนประจำเดือน เพราะเป็นฮอร์โมนกลุ่มเดียวกันกับยาคุมแบบฉีดจะยิ่งเพิ่มผลข้างเคียงได้ค่ะ
ผ่านไปแล้วกับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฉีดยาคุมที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างก็สงสัย หวังว่าคำตอบที่ได้จะเป็นข้อมูลให้คุณได้นำไปพิจารณากันในเบื้องต้น ซึ่งหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือต้องการปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิด สามารถใช้บริการได้ที่อินทัชเมดิแคร์คลินิกเวชกรรมทุกสาขาใกล้บ้าน โดยค้นหาจากคลินิกใกล้ฉันใน Google หรือ Walk-In เข้าพบกับคุณหมอของเราได้เลยค่ะ
บทความที่น่าสนใจ
- ฉีดยาคุม 1 เดือน และ 3 เดือน ราคาสบายกระเป๋า
- ข้อแตกต่างระหว่างฉีดยาคุมกับกินยาคุมกำเนิด
- ข้อแตกต่างระหว่างยาคุมแบบฉีดกับฝังยาคุม วิธีใดที่เหมาะกับเรา
- หลังฉีดยาคุม มีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไร
- การฉีดยาคุมกำเนิดมีข้อดีหรือข้อควรระวังอย่างไรบ้าง
นายอัชวิน ธรรมสุนทร
ผู้จัดการทั่วไป
แก้ไขล่าสุด : 23/04/2024
อนุญาตให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com