ยาฉีดคุมกำเนิด ที่นิยมใช้กันมี 2 แบบคือ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน กับ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน ซึ่งเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ ที่มีความสะดวกสบาย เพราะในการฉีดยาคุม 1 ครั้ง สามารถคุมกำเนิดได้นาน 1 หรือ 3 เดือน ไม่ต้องพกยาเม็ดคุมกำเนิดหรือถุงยางอนามัยให้เกะกะ และยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงไม่แพ้การคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่น คำถามคือแล้วแบบไหนที่น่าจะเหมาะสมกับคุณมากที่สุด บทความนี้เราจึงสรุปข้อมูลมาให้คุณใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด (ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน กับ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน)
อันดับแรกมารู้จักการฉีดยาคุมกำเนิดกันก่อน สำหรับใครที่สนใจ สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน โดยปกติจะฉีดเข้าบริเวณต้นแขน หรือสะโพก และหลังจากการฉีดยาคุมกำเนิดเข้าไปประมาณ 7 วัน ฮอร์โมนจะทำหน้าที่ยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัวของอสุจิ จึงไม่เกิดการปฏิสนธิ หรือตั้งครรภ์ขึ้นนั่นเอง ซึ่งทั้ง ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน และ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน ใช้วิธีการฉีดเข้าบริเวณต้นแขน หรือสะโพกเหมือนกัน
ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน กับ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน
-
เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนอยู่เป็นประจำ
-
เหมาะกับผู้ที่ให้นมบุตร เพราะไม่กระทบกับการให้นมของลูก
-
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพสูง
-
เหมาะสำหรับผู้ที่มักจะลืมกินยาคุมกำเนิดอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้
-
ต้องการลดความเครียดช่วงก่อนการมีประจำเดือน เพราะการฉีดยาคุมกำเนิด สามารถกำหนดช่วงเวลาของการมีประจำเดือนที่ชัดเจนได้
ผู้ที่ไม่เหมาะจะใช้ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน กับ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน
-
ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง
-
สตรีที่อ้วนมากเกินไป
-
สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ไม่ควรฉีด
-
ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือ ผู้ที่มีอายุ 45 ปี ขึ้นไป เพราะขณะคุมกำเนิดด้วยการฉีดยาคุม จะมีผลต่อความหนาแน่นของมวลกระดูก
-
ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานรุนแรง โรคมะเร็งเต้านม ผู้ป่วยโรคไมเกรน โรคไต ไม่ว่าจะเป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือโรคมะเร็งตับ ไม่ควรฉีด
ยาฉีดคุมกำเนิดที่นิยมใช้มีอยู่ 2 แบบ คือ
1. ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน
ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน คือยาคุมแบบฮอร์โมนรวม ที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรนรวมกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ต้องฉีดเป็นประจำในทุกเดือน เพราะการฉีดยาคุม 1 เข็ม สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว จะมีประจำเดือนเกิดขึ้นตามปกติ และอาจมีอาการปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ส่วนใหญ่จะฉีดเข้าที่บริเวณต้นแขน ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะยาคุมชนิดนี้จะทำให้น้ำนมแห้งได้
2. ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน
ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน คือยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวก็ได้ เพราะจะมีฮอร์โมนโปรเจสติน ทำหน้าที่ในการยับยั้งการตกของไข่ การฉีดยาคุม 1 ครั้ง สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 3 เดือน จึงไม่ต้องเสียเวลาไปฉีดยาคุมบ่อยๆ โดยจะฉีดเข้าที่สะโพกจำนวน 1 เข็ม หลังจากการฉีดยาคุม จะทำให้ไม่มีประจำเดือน แต่อาจมีผลข้างเคียง ด้วยการมีเลือดออกกะปริดกะปรอย คนที่กำลังให้นมบุตรก็สามารถฉีดได้ โดยไม่มีผลต่อการผลิตน้ำนม
จะเห็นได้ว่าทั้งยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน และ ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงด้วยกันทั้งคู่ การเลือกใช้ต้องพิจารณาตามข้อจำกัดและความเหมาะสมของแต่ละคน เช่น หากคุณกำลังให้นมบุตร การเลือกใช้ยาคุมฉีดแบบ 3 เดือน ก็จะมีความเหมาะสมมากกว่า หรือหากต้องการให้ประจำเดือนมาทุกเดือน ยาคุมฉีดแบบ 1 เดือน ก็จะช่วยตอบโจทย์ที่ต้องการได้มากกว่า